top of page

        คำสมาส

ความหมายของคำสมาส

                คำสมาส  คือ การสร้างคำขึ้นใหม่โดยการนำคำมูลบาลีหรือสันสกฤตตั้งแต่สองคำขึ้นไปซึ่งมี ความหมายต่างกันมาเรียงต่อกันแล้วเกิดคำใหม่และมีความหมายใหม่  เวลาอ่านก็อ่านเพิ่มพยางค์สุดท้ายของคำแรกและแปลจากหลังไปหน้า เช่น

 

                ประวัติ(ส) + ศาสตร์(ส.)   =  ประวัติศาสตร์ (ประ -หวัด - ติ - สาด)  แปลว่า วิชาว่าด้วยเรื่องเก่าแก่

วิธีสังเกตคำสมาส

       ๑.  คำที่นำมาสมาสกันต้องเป็นคำบาลีหรือสันสกฤตเท่านั้น   เช่น

                                        มูล ( บ. )    +   นิธิ ( บ. )      =       มูลนิธิ

                                        วรรษ ( ส. ) +   ฤดู ( ส. )                     =       วรรษฤดู

                                        หัตถ ( บ. )  +   ศึกษา ( ส. ) =       หัตถศึกษา

                                         วิทย  (ส.)    +   ฐานะ  (บ.) =        วิทยฐานะ          

       ๒   การแปลความหมายแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า  เช่น

                                        อุทก (น้ำ)   +   ภัย (อันตราย)            =   อุทกภัย (ภัยอันตรายจากทางน้ำ)

                                        รัตติ (กลางคืน) + กาล (เวลา)            =    รัตติกาล (เวลากลางคืน)

      ๓. การอ่านออกเสียงต้องอ่านออกเสียงต่อเนื่องหรืออ่านออกเสียงเพิ่มพยางค์สุดท้าย    ของคำหน้า เช่น

                                        พฤติ + กรรม      =     พฤติกรรม (พฺรึด - ติ - กำ)

                                        กาย  + ภาพ        =     กายภาพ (กาย - ยะ - พาบ)

      ๔.  ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้ามีวิสรรชนีย์ หรือ ทัณฑฆาต  เมื่อเข้าสมาสแล้วต้องตัดวิสรรชนีย์ หรือทัณฑฆาตออก  เช่น

                                        ธุระ  +  กิจ          =   ธุรกิจ

                                         มนุษย์ + ธรรม    =    มนุษยธรรม

      ๕.  คำราชาศัพท์ที่มีคำว่า”พระ”นำหน้าคำมูลบาลีหรือสันสกฤต จัดว่าเป็นคำสมาส  เช่น

                                                พระ  +  พักตร์ (ส.)   =    พระพักตร์

                                                พระ  +  บิดา (บ.)      =    พระบิดา

      ๖.   คำบาลีหรือสันสกฤตที่มีคำว่า  “ ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศิลป์ ศึกษา สถาน ธรรม กร วิทยา”  ต่อท้ายถือว่าเป็นคำสมาส   เช่น

        จิตศาสตร์ โจรกรรม ภราดรภาพ อัคคีภัย นาฏศิลป์ อาชีวศึกษา เทวสถาน นิติกร  วัฒนธรรม จิตวิทยา

 

ข้อสังเกต

                ๑    มีคำสมาสบางคำไม่อ่านออกเสียงพยางค์สุดท้ายของคำหน้าแต่อ่านตามความหมายเช่น                                                                   ชลบุรี  (ชน - บุ - รี)                    

                             สุพรรณบุรี  (สุ - พัน - บุ -รี)

                             สมุทรปราการ (สะ - หฺมุด - ปฺรา - กาน)  ฯลฯ

                ๒.   มีคำสมาสบางคำที่เป็นคำหลักทั้งสองคำ จะแปลจากหน้าไปหลังหรือจากหลังไปหน้าก็ได้  แต่เวลาอ่านจะต้องอ่านออกเสียงต่อเนื่องกัน เช่น

                              บุตร  +  ภรรยา         =   บุตรภรรยา (บุด - ตฺระ - พัน - ระ - ยา)

                              สมณ  +  พราหมณ์   =   สมณพราหมณ์ (สะ - มะ - นะ - พฺราม)

         ยกเว้น         ประธานสภา   ผลบุญ  ประวัติบุคคล  ประวัติชีวิต  ราชวัง  ผลไม้  พระสาง  พระเขนย

 

 วิธีอ่านคำสมาส

                ๑.  ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำหน้าเป็นเสียง “อะ” ให้ออกเสียง “อะ” กึ่งเสียง เช่น

                                                โบราณ + คดี         =     โบราณคดี (โบ - ราน - นะ - คะ- ดี)

                                                สัตว  +  แพทย์      =     สัตวแพทย์ (สัด - ตะ -วะ - แพด)

                                                คุณ  +  วุฒิ             =     คุณวุฒิ  (คุน – นะ – วุด – ทิ)

                ๒.  ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำหน้าเป็นเสียง “อิ” ให้ออกเสียง “อิ” เช่น

                                             ภูมิ  +  ภาค            =      ภูมิภาค (พู - มิ - พาก)   

                                             เกียรติ  + คุณ         =      เกียรติคุณ  (เกียด – ติ – คุน)

                                             อุบัติ  +  เหตุ          =     อุบัติเหตุ  (อุ – บัด – ติ – เหด)

                     ยกเว้น           ชาติ +  นิยม             =      ชาตินิยม (ชาด - นิ - ยม)

                ๓.  ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำหน้าเป็นเสียง “อุ” ให้อ่านออกเสียง “อุ”  เช่น

                                    เกตุ  +  มาลา         =      เกตุมาลา (เกด - ตุ - มา -ลา)

                                    ธาตุ  +  สถูป         =      ธาตุสถูป (ทาด - ตุ - สะ -ถูบ)

               ๔.  ถ้าพยางค์สุดท้ายของตัวหน้าเป็นตัวควบกล้ำ  ให้อ่านออกเสียงควบกล้ำด้วย  เช่น

                                    เกษตร + กรรม     =      เกษตรกรรม (กะ - เสด - ตฺระ - กำ)

                                    มิตร    + ภาพ        =      มิตรภาพ (มิด - ตฺระ - พาบ)

               ๕.  คำว่า “บรม  ราช” เป็นคำสมาสต้องอ่านออกเสียง “-มะ- , -ชะ-”  เช่น

                                     พระราชกรณียกิจ                อ่านว่า    พฺระ - ราด - ชะ - กะ - ระ - นี - ยะ - กิด

                                     พระบรมราชูปถัมภ์             อ่านว่า    พฺระ - บอ - รม - มะ - รา - ชู - ปะ - ถำ

 

  คำสมาสและคำประสมมีความแตกต่าง  ดังนี้

คำสมาส

๑.  ที่มาของคำเกิดจากการนำคำบาลีหรือสันสกฤตมาประกอบกันเท่านั้น  เช่น

     ราชบิดา        -      ราช  (บ.)   +  บิดา  (บ.)

     จันทรคราส  -      จันทร์ (ส.) +  คราส  (ส.)

     กายกรรม     -       กาย  (บ.)   +  กรรม  (ส.)

     กรรมฐาน    -       กรรม (ส.)  +  ฐาน  (บ.

๒.  การเรียงลำดับคำและการแปลความหมายของคำ

      คำหลักไว้หลังคำขยายไว้หน้าและแปลจากข้างหลังไปข้างหน้า  เช่น

   พาณิชย์  +  การ    =    พาณิชยการ(งานการค้า)

   สภา   +   นายก    =    สภานายก(หัวหน้าในที่ประชุม)

   ผลิต   +   ผล        =    ผลิตผล(ผลที่ทำขึ้น)

                                      (แปลจากหลังไปหน้า)

๓.  การเขียนตัวสะกด  คำสมาสไม่ประวิสรรชนีย์  หรือไม่มีเครื่องหมายทัณฑฆาตกำกับตรงพยางค์สุดท้ายของคำหน้า  เช่น

     เคหะ   +   ศาสตร์  =    เคหศาสตร์

     กิจจะ  +   กรรม     =    กิจกรรม

     รัตนะ  +  ตรัย       =     รัตนตรัย

     พันธุ์   +   กรรม     =    พันธุกรรม

     สัตว์    +   แพทย์    =    สัตวแพทย์

 

๔.  การอ่านออกเสียง  ส่วนมากอ่านออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า  เช่น

      เกียรติประวัติ  อ่าน  เกียด – ติ – ปฺระ – หฺวัด

      ภูมิศาสตร์       อ่าน  พู – มิ - สาด

คำประสม

 

๑.  ที่มาของคำเกิดจากการนำคำที่มาจากภาษาใดก็ได้มาประกอบกัน  เช่น

      แม่เหล็ก    -    แม่ (ท.)      +      เหล็ก  (ท.)

      ฉลองได    -   ฉลอง  (ข.)  +      ได  (ข.)

      พระสลา    -   พระ  (ส.)    +      สลา  (ข.)

      รับเสด็จ    -    รับ  (ท.)      +      เสด็จ  (ข.)

      พระโธรน -    พระ  (ส.)    +      โธรน  (อ.)

      พลเรือน    -    พล  (บ.)      +      เรือน  (ท.)

๒.  การเรียงลำดับคำและการแปลความหมายของคำ

      คำหลักไว้หน้าคำขยายไว้หลังและแปลจากข้างหน้าไปข้างหลัง  เช่น

   การ  +  พาณิชย์   =    การพาณิชย์ (การค้าขาย)

   นายก   +  สภา    =    นายกสภา(หัวหน้าในที่ประชุม)

   ผล   +  ผลิต        =    ผลผลิต(ผลที่ทำขึ้น)

                                     (แปลจากหน้าไปหลัง)

๓.  การเขียนตัวสะกด  คำประสม

ประวิสรรชนีย์  หรือมีเครื่องหมายทัณฑฆาตกำกับตรงพยางค์สุดท้ายของคำหน้า  เช่น

     เคหะ   +   ชุมชน       =    เคหะชุมชน

     กิจจะ   +   ลักษณะ    =     กิจจะลักษณะ

     สาระ   +   บันเทิง      =     สาระบันเทิง

     พันธุ์    +   ผสม         =     พันธุ์ผสม

     จันทร์  +   เพ็ญ          =    จันทร์เพ็ญ

๔.  การอ่านออกเสียง  ส่วนมากไม่อ่านออกเสียงสระตรงพยางค์ท้ายของคำหน้า  เช่น

      ชาติตระกูล     อ่าน     ชาด –  ตฺระ –  กูน

      ภูมิลำเนา        อ่าน     พูม  –   ลำ  -  เนา

bottom of page